top of page

จังหวะชีวิตที่ผู้คนหลงลืม

มนุษย์เกิดมาเพื่อดำเนินชีวิตกลมกลืนสอดคล้องกับจังหวะของธรรมชาติ


จังหวะของพระอาทิตย์ขึ้นและตก

จังหวะของลมพัด ใบไม้ไหว

และจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอ


แต่เมื่อ “การทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ” กลายเป็นเป้าหมายกระแสหลักของสังคม

เรากลับถอยห่างออกจากจังหวะชีวิตตามธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว



เราตื่นก่อนเสียงนกร้อง เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด

นั่งหน้าจอจนดึก เพื่อสะสางงานให้ทัน

วัดคุณค่าของเวลา จากจำนวนงานที่สำเร็จหรือเป้าหมายที่บรรลุ

และเฝ้ารอดูว่าทุกปี “เราก้าวหน้าไปแค่ไหน”


แต่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ พาเราห่างหายจากวิถีที่ร่างกายและหัวใจของคนเราเคยเป็น


ร่างกายมนุษย์ใช้เวลานับหมื่นปี

ในการวิวัฒนาการให้สอดประสานกับจังหวะของธรรมชาติ


แต่เพียงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา

เรากลับเร่งชีวิตให้วิ่งสวนทางกับจังหวะนั้น

สังคมเมือง และแนวคิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ผลักดันให้ตัวเลขเติบโตไม่สิ้นสุด

เป็นสิ่งใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษย์


ใหม่เสียจนจิตใจและร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทัน

แต่เรากลับยึดค่านิยมนี้ไว้อย่างแนบสนิทแน่น

ผูกจิตวิญญาณเข้ากับการสะสมและครอบครอง เพื่อไขว่คว้าความมั่นคงปลอดภัย


เราถูกสอนให้เชื่อว่า

บริษัทต้องมีกำไรมากขึ้นทุกปี

ชีวิตต้องประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นทุกปี

และทุกๆ ปีต้อง “ดีกว่า” ปีที่ผ่านมา


อยากชวนคิดถึงการตั้งคำถามที่เหมาะสมกับตัวตนภายในของเรา


คำถามที่พอเหมาะพอดีสำหรับตัวเราเอง


…..เคยมีใครบ้างที่หยุดถามตัวเอง? ว่าอะไร...คือ "การเติบโตที่แท้จริง?"


เรายังจำจังหวะชีวิตที่สมดุลพอดีไหลลื่นของตัวเองอยู่ได้หรือเปล่า?


จังหวะชีวิตแบบไหนที่ทำให้เราอารมณ์ดี เกิดความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น ทำงานสำเร็จลุล่วงด้วยความผ่อนคลาย เจอโปรเจกต์ยากๆ ก็ยังรักษาความเห็นอกเห็นใจคนรอบตัว สุขภาพแข็งแรง ตื่นขึ้นพร้อมความสดใส


ทุกวันนี้คุณยังไม่มีโรคประจำตัวใช่หรือไม่?


หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านจะยังคงรักษาความร่ำรวยทางด้านสุขภาพเอาไว้ได้อยู่นะครับ


อยากชวนให้ลองกลับมาฟังเสียงหัวใจว่ายังสอดคล้องกับวิถีที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันหรือไม่?


บางที…..

การกลับมาเชื่อมโยงกับจังหวะธรรมชาติในตัวเราเอง อาจเป็นการ “เติบโต” ที่ลึกซึ้งอีกรูปแบบหนึ่ง


แม้โลกภายนอกจะเร่งเร้าให้เราวิ่งเร็วขึ้นทุกวันก็ตาม


บางที…..

แค่ยอมให้ตัวเอง “ช้าลง” สักนิด

มีรายได้ลดลงสักหน่อย


เพื่อปรับจูนชีวิตให้...

ได้หายใจลึกทั่วท้องบ่อยๆ ได้มีโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดในธรรมชาติถี่ขึ้น


เวลาดื่มน้ำอุ่นๆ ก็ยังรักษาสติให้สามารถสัมผัสรับรู้ความรู้สึกที่น้ำอุ่นไหลลงสู่หลอดอาหารไปยังกระเพาะแล้วทำให้ท้องรู้สึกอุ่นสบาย


ขอเชิญชวนทุกคนกลับเข้ามาฟังเสียงภายในของตัวเองอย่างแท้จริงอีกครั้ง


มัน…..อาจเพียงพอที่จะปลุกหัวใจให้กลับมามีชีวิตชีวาในจังหวะที่สอดคล้องกับฤดูกาลของธรรมชาติในร่างกายตัวเอง เพื่อผสมผสานระหว่างชีวิตและงานให้เกื้อหนุนส่งเสริมกัน

 
 
 

Comments


bottom of page