จังหวะชีวิตที่ผู้คนหลงลืม
- สาโรช จรรยาแพทย์
- 10 hours ago
- 1 min read
มนุษย์เกิดมาเพื่อดำเนินชีวิตกลมกลืนสอดคล้องกับจังหวะของธรรมชาติ
จังหวะของพระอาทิตย์ขึ้นและตก
จังหวะของลมพัด ใบไม้ไหว
และจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอ
แต่เมื่อ “การทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จ” กลายเป็นเป้าหมายกระแสหลักของสังคม
เรากลับถอยห่างออกจากจังหวะชีวิตตามธรรมชาติโดยไม่รู้ตัว

เราตื่นก่อนเสียงนกร้อง เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด
นั่งหน้าจอจนดึก เพื่อสะสางงานให้ทัน
วัดคุณค่าของเวลา จากจำนวนงานที่สำเร็จหรือเป้าหมายที่บรรลุ
และเฝ้ารอดูว่าทุกปี “เราก้าวหน้าไปแค่ไหน”
แต่สิ่งเหล่านี้ค่อยๆ พาเราห่างหายจากวิถีที่ร่างกายและหัวใจของคนเราเคยเป็น
ร่างกายมนุษย์ใช้เวลานับหมื่นปี
ในการวิวัฒนาการให้สอดประสานกับจังหวะของธรรมชาติ
แต่เพียงไม่กี่ศตวรรษที่ผ่านมา
เรากลับเร่งชีวิตให้วิ่งสวนทางกับจังหวะนั้น
สังคมเมือง และแนวคิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่ผลักดันให้ตัวเลขเติบโตไม่สิ้นสุด
เป็นสิ่งใหม่ในประวัติศาสตร์มนุษย์
ใหม่เสียจนจิตใจและร่างกายของเรายังปรับตัวไม่ทัน
แต่เรากลับยึดค่านิยมนี้ไว้อย่างแนบสนิทแน่น
ผูกจิตวิญญาณเข้ากับการสะสมและครอบครอง เพื่อไขว่คว้าความมั่นคงปลอดภัย
เราถูกสอนให้เชื่อว่า
บริษัทต้องมีกำไรมากขึ้นทุกปี
ชีวิตต้องประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นทุกปี
และทุกๆ ปีต้อง “ดีกว่า” ปีที่ผ่านมา
อยากชวนคิดถึงการตั้งคำถามที่เหมาะสมกับตัวตนภายในของเรา
คำถามที่พอเหมาะพอดีสำหรับตัวเราเอง
…..เคยมีใครบ้างที่หยุดถามตัวเอง? ว่าอะไร...คือ "การเติบโตที่แท้จริง?"
เรายังจำจังหวะชีวิตที่สมดุลพอดีไหลลื่นของตัวเองอยู่ได้หรือเปล่า?
จังหวะชีวิตแบบไหนที่ทำให้เราอารมณ์ดี เกิดความคิดสร้างสรรค์ กระตือรือร้น ทำงานสำเร็จลุล่วงด้วยความผ่อนคลาย เจอโปรเจกต์ยากๆ ก็ยังรักษาความเห็นอกเห็นใจคนรอบตัว สุขภาพแข็งแรง ตื่นขึ้นพร้อมความสดใส
ทุกวันนี้คุณยังไม่มีโรคประจำตัวใช่หรือไม่?
หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านจะยังคงรักษาความร่ำรวยทางด้านสุขภาพเอาไว้ได้อยู่นะครับ
อยากชวนให้ลองกลับมาฟังเสียงหัวใจว่ายังสอดคล้องกับวิถีที่เราใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันหรือไม่?
บางที…..
การกลับมาเชื่อมโยงกับจังหวะธรรมชาติในตัวเราเอง อาจเป็นการ “เติบโต” ที่ลึกซึ้งอีกรูปแบบหนึ่ง
แม้โลกภายนอกจะเร่งเร้าให้เราวิ่งเร็วขึ้นทุกวันก็ตาม
บางที…..
แค่ยอมให้ตัวเอง “ช้าลง” สักนิด
มีรายได้ลดลงสักหน่อย
เพื่อปรับจูนชีวิตให้...
ได้หายใจลึกทั่วท้องบ่อยๆ ได้มีโอกาสสูดอากาศบริสุทธิ์เต็มปอดในธรรมชาติถี่ขึ้น
เวลาดื่มน้ำอุ่นๆ ก็ยังรักษาสติให้สามารถสัมผัสรับรู้ความรู้สึกที่น้ำอุ่นไหลลงสู่หลอดอาหารไปยังกระเพาะแล้วทำให้ท้องรู้สึกอุ่นสบาย
ขอเชิญชวนทุกคนกลับเข้ามาฟังเสียงภายในของตัวเองอย่างแท้จริงอีกครั้ง
มัน…..อาจเพียงพอที่จะปลุกหัวใจให้กลับมามีชีวิตชีวาในจังหวะที่สอดคล้องกับฤดูกาลของธรรมชาติในร่างกายตัวเอง เพื่อผสมผสานระหว่างชีวิตและงานให้เกื้อหนุนส่งเสริมกัน
Comments